วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตำนานศรีสะเกษ




 






 
 
 
 
 เป็นธรรมเนียมว่าเมืองใหญ่น้อยทั่วไป มักจะมีตำนาน นิทาน และประวัติของตนเองโดยเฉพาะ จังหวัดศรีสะเกษ ก็ไม่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ดังกล่าวกว่าจะมาเป็นจังหวัด ย่อมมีตำนานเล่าขาน เป็นการเสริมสุนทรียารมย์ของผู้อ่าน ให้มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ฉะนั้น.. ขอเชิญท่านร่วมท่องทะเลตำนานเมืองศรีสะเกษด้วยกัน ดังนี้
 
ตามตำนานพระนางศรีสระผม (ชื่อเดิม) เป็นคนสัญชาติกล่อม (ขอมแท้) ตามสันนิษฐานเข้าใจว่าเป็นราชธิดาของท้าวสุริยวรมันกับพระนางพิณสวัณคราวดี ตำแหน่งเป็นอุปราชครองพิมานมงคลในแคว้นโคตรบูร พระนางศรีสระผมเป็นผู้อำนวยการสร้างปราสาทสระกำแพง เป็นผู้รู้วิชานาฎศิลปะ ชำนาญการฟ้อนรำ ทรงเป็นครูฝึกหัดการฟ้อนรำ ทรงเป็นประธานในพิธีถวายเทวาลัยปราสาทสระกำแพง พระนางศรีฯ ได้เข้าพิธีสรงสนานลงอาบน้ำสระผมในสระกำแพง แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศสวยงาม มีดนตรีบรรเลง ทรงฟ้อนรำบวงสรวงเดี่ยวหน้าเทวรูปพระวิษณุ อัญเชิญเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ศักดานุภาพมารับมอบเทวาลัยเป็นที่สิงสถิต คนทั่วไปได้ซาบซึ้งและระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงได้เรียกขานว่าพระนางศรีสระผม ต่อมาพระบาท-สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดเกล้าพระราชทานให้ตั้งเมืองใหม่ แยกจาก เมืองขุขันธ์ ชื่อว่า เมืองศรีสะเกษ เพื่อเป็นการให้เกียรติและเป็นอนุสรณ์แก่พระนางศรีสระผม

ตำนานที่ ๑

อตี เต กิร อินฺทปฏฺฐรญฺโญ สิริกลฺยาณี นาม เอกา ราชธีตา อภิรูปา อโหสิ ทสฺสนียา ดังได้สดับมาว่า ในอดีตกาลอันยาวไกล ได้มีเจ้าหญิงขอมองค์หนึ่งมีรูปโฉมโนมพรรณงดงาม นามว่า สิริกัลยาณี หรือ ศรีกัลยาณิ์ หรือ พระนางศรี ได้เดินทางจากเมืองอินทปัตถ์ กรุงกัมพูชา เพื่อจะไปเยี่ยมพระสวามีที่เมืองพิมาย ผ่านทางมาถึงเมืองสดุกอำพิล ที่มีบาราย (สระน้ำ)ขนาดใหญ่ คล้าย ๆ สระอโนดาต (อโนดาต แปลว่า ไม่ร้อน/สระเย็น) จึงหยุดพักอิริยาบถ ลงสรงสนานสรีระ และสระผมที่สระนั้น ต่อมาสระนั้นมีชื่อว่า สระกำแพงใหญ่ (ที่อำเภออุทุมพรพิสัย ปัจจุบัน) ครั้นสร้างเมืองเสร็จแล้ว ได้ถือนิมิตที่พระนางศรีสระผมเป็นเหตุ เมืองนี้จึงมีชื่อว่า สิริเกศ ศรีสระเกศ และศรีสะเกษ

ตำนานที่ ๒

อตีเต กิร ลาวุนครวาสิรญฺโญ เอกา ราชธีตา คพฺภปริปกฺกา ทสมาสปริปุณฺณา อตฺตโน สามิกํ กมรราชานํ คเวสิตุกามา อโหสิ เล่า ขานกันมาว่าได้มีเจ้าหญิงแห่งเมืองลาว พระนางหนึ่งนามว่า นางศิริโสภา หรือพระนางศรีได้สยุมพรกับพระยาแกรก กษัตริย์ขอม (อาณาจักรฟูนัน) ทรง ครรภ์แก่ ถ้วน ทสมาส ได้ออกเที่ยวตามหาพระสวามี เดินทางมาถึงบริเวณสระน้ำใหญ่ และคลอดทารกที่ริมสระนั้น นางได้ชำระมลทินครรภ์และทารกที่สระน้ำนั้น ครั้นสร้างเมืองขึ้นแล้ว จึงตั้งชื่อเมืองว่า สิริเกศ หรือ ศรีสระเกศ

ตำนานที่ ๓

เอโก กิร ราชา กมฺโพชรฏฺเฐ รชฺชํ กาเรนฺโต สปุตฺตทาโร สิริสตนาคนหุตนครํ อคมาสิ ได้ยินมาว่า มีพระยาองค์หนึ่ง นามว่า พระยาศรีโคตรตะบองเพชร แห่งอาณาจักรขอม พร้อมด้วยมเหสีและพระโอรสธิดา เสด็จไปยังอาณาจักรศรีสัตนาคนหุต เมืองล้านช้าง คราเสด็จกลับผ่านมาถึงสระอโนดาตในระหว่างทาง จึงหยุดพักอิริยาบถ และสรงสนานสรีระที่สระอโนดาตใหญ่นั้นโดยเข้าใจว่า เป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของเหล่าเทพผู้มีมเหศักดิ์ นัยว่าตำนานที่ ๓ นี้ มีความเชื่อกันโดยมากว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับชื่อเมืองศรีสะเกษ อันมีปฐมตำนานสืบต่อว่า พระนางศรี มเหสีของพระยาศรีโคตรตะบองเพชร กษัตริย์ขอม ได้ประพาสเมืองปริมณฑลแห่งมหานคร (Angkor นคร วัด นครธม) มาถึงบริเวณสระน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง มีน้ำใสเย็น ดารดาษไปด้วยมวลปทุมาลย์นานาพันธุ์ (คาดเดากันว่า เป็นบริเวณพื้นที่อำเภอเมืองศรีสะเกษกับอำเภออุทุมพรพิสัย ปัจจุบัน) จึงลงสรงสนานที่สระน้ำนี้ เพราะเหตุที่นางพญาสรงสนานและสระผม สระนี้จึงเรียกว่า สระเกศ จำเนียรกาลต่อมา เมื่อมีการสร้างเมืองขึ้นในบริเวณนี้ จึงตั้งชื่อว่า ศรีสระเกศ และกลายมาเป็น ศรีสะเกษ ในปัจจุบัน
โดย ความเชื่อดังกล่าว เทศบาลเมืองศรีสะเกษ โดยนายฉัฐมงคล อังคสกุลเกียรติ นายกเทศมนตรี จึงได้สร้างอนุสาวรีย์รูปหล่อพระนางศรีสระผม ประดิษฐานกลางใจเมืองศรีสะเกษ ณ บริเวณวงกลม ด้านทิศเหนือสถานีรถไฟศรีสะเกษ ถนนศรีสะเกษ หน้าประตูโขงด้านทิศตะวันตกของวัดมหาพุทธาราม หรือวัดพระโต และได้จัดงานบวงสรวงสมโภชอนุสาวรีย์พระนางศรีสระผมเป็นประจำทุกปี

ตำนานที่ ๔

(เขาว่า ตำไม่นาน จะไม่ละเอียด) ได้นำเรื่องปรัมปราเล่าขานสืบ ๆ กันมาจากเกร็ดประวัติเมืองจำปา หรือ จัมปกะ หรือ จำปากนาคปุระ (นครจำปาสัก) มาเสริมบริบท เพื่อให้เห็นภาพของจังหวัดศรีสะเกษเด่นชัดขึ้น บรรดาเกจิผู้สันทัดกรณีย์ สันนิษฐานว่า คำว่า ศรีสะเกษ เพี้ยนมาจากคำว่า ศรีเกษตร เพราะในประวัติอาณาจักรขอมโบราณจะมีคำว่า ศรีกุรุเกษตร ศรี แปลว่า มิ่งขวัญ มงคล คุรุ แปลว่า ครู หนัก สำคัญ เกษตร แปลว่า เรือก สวน ไร่ นา อาชีพการเกษตร ศรีเกษตร จึงมีความหมายว่า อาชีพของคนโบราณ คือ การทำไร่ ไถนา แม้ปัจจุบัน ก็ไม่แตกต่างกับอดีตเท่าใดนัก เนื่องจากเกษตรเป็นอาชีพหลัก ถือว่าเป็นสิริ เป็นศรี เป็นมงคล นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์แก่คนและสัตว์ จึงเมื่อผ่านการเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนาเสร็จสิ้นแต่ละปี ก็จะมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองความสำเร็จ และแสดงความขอบคุณเมตตาปรานีของเทพีศรีเกษตร หรือแม่โพสพ ในบริเวณเมืองศรี เมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนหน้านี้มีชื่อว่า ทุ่งศรีเกษตร ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปหลายศตวรรษ ชื่อศรีเกษตร ก็ค่อยๆเพี้ยนไปเป็น ศรีสะเกษ ในที่สุด (นำเค้าโครงจากชื่อเดิม มาดัดแปลงเป็นชื่อใหม่)

ตำนานที่ ๕

สืบเนื่องมาจากคำว่า ศรีเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เมืองศรีสะเกษในอดีต จะมีการพิจารณา พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติงดงาม เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาปสาทะของพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง ระดับเมือง ระดับแขวง ซึ่งต่อมาคือระดับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลในปัจจุบัน เมื่อปฏิบัติหน้าที่มาด้วยความเรียบร้อยดีงาม เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ประเทศชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรบ้าง พระราชาคณะบ้าง ในจังหวัดศรีสะเกษ สมณศักดิ์พระราชาคณะที่สำคัญ ๆ ก็มีเช่น พระธรรมจินดามหามุนี (เสน ปญฺญาวชิโร) พระราชจินดามุนี (เสน) พระเทพวรมุนี (เสน) วัดมหาพุทธาราม พระเทพวรมุนี (วิบูลย์ กลฺยาโณ) วัดเจียงอี ศรีมงคลวรารามเป็นต้น ส่วนสมณศักดิ์พระครูสัญญาบัตร เช่น พระครูธรรมจินดามหามุนี (เดช มหาปุญฺโญ) วัดพระโต พระครูธรรมจินดามหามุนี ศรีโคตมวงศ์ (นุต) วัดกลาง อำเภอขุขันธ์ ทีนี้ยังมีสมณศักดิ์ที่มีราชทินนามว่า เกษตรต่อท้าย เช่น พระเกษตรศีลาจารย์ (หนู) พระครูเกษตรศีลาจารย์ (หนู) วัดเจียงอี ศรีมงคลวราราม พระครูเกษตรศีลาจารย์ (ทอง) วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระครู เกษตรศีลาจารย์ (นาม) วัดพระโต โดยนัยนี้ แสดงให้เห็นว่า ราชทินนามของพระสงฆ์ผู้เป็นธงธรรมแห่งจังหวัด จะมีคำว่า เกษตร นั่นหมายความว่า ศรีเกษตร เป็นที่มาของชื่อ ศรีสะเกษ

ตำนานที่ ๖

ผู้รู้ประวัติศาสตร์ของชนชาติลุ่มแม่น้ำโขง ชี มูล บางพวกได้เชื่อมโยงประวัติความเป็นมาของโทนคร (โท แปลว่า สอง) คือ นครศรีลำดวน และศรีนครเขต เข้าด้วยกัน โดยอาศัยปูชนียวัตถุ ได้แก่พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองประจำทิศเหนือและทิศใต้เป็น หลัก
ทิศเหนือ เป็น ที่ตั้งเมืองศรีนครเขต หรือ เมืองศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเมืองรับการกระจายอำนาจการปกครองจากเมืองขุขันธ์ แต่เดิมอยู่ภายใต้การปกครองของนครจำปาศักดิ์ พ.ศ.๒๓๐๒-๒๓๑๐ อยู่ภายใต้ปกครองของกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๒๔ อยู่ภายใต้ปกครองของกรุงธนบุรี และตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๕-ปัจจุบัน อยู่ภายใต้ปกครองของกรุงรัตนโกสินทร์ สิ่งสำคัญที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของประชาชนพลเมือง คือ ความเลื่อมใสและศรัทธาเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เมื่อจารย์เชียงพร้อมด้วยบริวารจำนวนหนึ่ง ได้รับคำสั่งจากเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ผู้เป็นอาจารย์ ให้ไปตั้งบ้านเมืองที่บ้านโนนสามขา (คุ้มวัดเจียงอี-พันทา อำเภอเมืองศรีสะเกษ) จำเนียรกาลต่อมาเมืองนี้ ชื่อว่า ศรีนครเขต พร้อมกันนั้น ได้สร้างวัดขึ้นที่บริเวณป่าไม้แดงโดยตั้งชื่อว่า วัดป่าแดง เพื่อให้เป็นวัดสำคัญประจำเมือง เช่นกับนครศรีลำดวน ขณะเดียวกัน ก็ได้สร้างพระพุทธรูปหินเขียว บ้างก็ว่า พระพุทธรูปสำริด เป็นพระประธานในสิมวัดป่าแดง ในสมัยเดียวกัน ก็มีการสร้างวัดในบริเวณใกล้เคียงรายล้อมวัดป่าแดงประจำทิศต่าง ๆ อาทิ
- ทิศตะวันออก มีวัดศรีสุมังคล์ หรือ วัดหลวงสุมังคลาราม พระอารามหลว (ธ) และวัดเลียบบูรพาราม ตำบลเมืองใต้ อำเภอเมืองศรีสะเกษ
- ทิศตะวันตก มีวัดท่าเหนือ หรือ วัดท่าเหนือ หรือ วัดท่าสำราญ เป็นวัดร้าง อยู่บริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน ยังมีต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นอยู่
- ทิศเหนือ มีวัดท่าช้าง หรือ วัดท่าโรงช้าง หรือ วัดท่าวิเศษกุญชร ปัจจุบัน คือวัดศรีมิ่งเมือง
- ทิศใต้ มีวัดโนนสามขา หรือ วัดเจียงอี ปัจจุบัน คือ วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม พระอารามหลวง
สัญลักษณ์ ประจำทิศเหนือ ที่ตั้งเมืองศรีนครเขต หรือเมืองศรีสะเกษ คือวัดป่าแดง (วัดรัตตะวัน) ได้สร้างพระพุทธรูปประธานในสิมหรืออุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ด้วยหินเขียว หรือ หินทราย บ้างก็ว่า สำริด หน้าตักกว้าง ๒.๕๐ เมตร ๓.๕๐ เมตร ต่อมาถึง พ.ศ.๒๓๒๕ ในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองศรีสะเกศ และทรงแต่งตั้งให้ท้าวอุ่น เป็นพระยารัตนวงศา เจ้าเมืองศรีสะเกษคนแรก ๆ ได้บูรณะวัดป่าแดงที่เป็นวัดร้าง ให้เป็นวัดประจำเมือง แต่ยังดำเนินการไม่ทันแล้วเสร็จก็ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน ลุ พ.ศ.๒๓๒๘ ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ พระยาวิเศษภักดี (ชม) บุตรพระยารัตนวงศา เป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษ ในยุคของพระยาวิเศษภักดี (ชม) ได้มีการสืบสานงานสร้างวัดวัดป่าแดงให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์ และพร้อมกันนั้น ท่านอาจารย์ศรีธรรมา สามีนางวันนา นายช่างหลวงจากนครจำปาศักดิ์ ผู้เป็นลุงได้ปั้นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง ๓.๕๐ เมตร สูง ๖.๘๕ เมตร ครอบพระพุทธรูปองค์เดิมไว้ ซึ่งก็คือ หลวงพ่อโต พระคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ ดังปรากฏอยู่ภายในวิหารวัดมหาพุทธารามทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น หลวงพ่อโต จึงถือว่าเป็นยอดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เทิดทูนไว้เหนือศีรษะของชาวศรีนครเขต หรือชาวเมืองศรีสะเกษ
ทิศใต้ เป็นที่ตั้งเมืองศรีนครลำดวน หรือเมืองขุขันธ์ สัญลักษณ์ประจำเมืองศรีนครลำดวนคือ วัดเขียนบูรพาราม บรรพชนผู้อพยพเข้ามาสร้างบ้านแปลงเมือง สืบเชื้อสายมาจากนครจันทบุรีหรือเวียงจันทน์เป็นส่วนใหญ่ และผู้คนเหล่านั้นต่างนับถือพระพุทธศาสนาเป็นสรณะประจำชีวิต จึงนำเอาพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท พร้อมด้วยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น ฮีตสิบสอง ครองสิบสี่ มาเป็นวิถีชีวิต นำเอาศิลปะช่างสกุลนครเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์มาสร้างวัด และสร้างพระพุทธรูป เช่นสร้างวัดเขียนบูรพารามเป็นวัดประจำเมืองทางทิศตะวันออก วัดบกจันทรนคร เป็นวัดประจำเมืองทางทิศตะวันตก และวัดลำพู เป็นวัดประจำเมืองทางทิศเหนือ โดยเฉพาะที่วัดเขียนบูรพาราม ได้สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะปูนปั้น ฝีมือช่างนครเวียงจันทน์ หน้าตักว้าง ๓.๕๐ เมตร สูง ๖.๘๐ เมตร หลวงพ่อโต วัดเขียน จึงเป็นยอดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เทิดทูนไว้เหนือเกษ (หัว) ของชาวนครศรีลำดวน หรือเมืองขุขันธ์
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความเห็นของนักประวัติศาสตร์ลุ่มแม่น้ำโขง ชี มูล และทัศนะของผู้เขียนจึงมีความสอดคล้องกันโดยบังเอิญว่า คำว่า ศรีสะเกษ น่าจะมาจากการนำเอายอดศักดิ์สิทธิ์ที่บุคคลเทิดทูนไว้เหนือศีรษะ เหนือเกล้าคือ พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือหลวงพ่อโต วัดพระโต (วัดมหาพุทธาราม)ประดิษฐาน ณ เมืองศรีนครเขต ด้านทิศเหนือ กับ พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือหลวงพ่อโต วัดเขียนบูรพาราม ประดิษฐาน ณ เมืองศรีนครลำดวน ด้านทิศใต้ เมื่อนำยอดมิ่งมงคลทั้งสองมารวมกัน จะได้ความหมายว่า “ศรีสะเกษ” (ศรีสะ แปลว่า หัว ยอด สูง, เกษ แปลว่า หัว ผม ยอด สูง) แปลว่า สองสุดยอด นี่แหละคือที่มาของจังหวัดศรีสะเกษ (ดังคำพังเพยที่ว่า นักมวย เมืองโคราช นักปราชญ์ เมืองอุบล ยอดคน เมืองศรีสะเกษ)

ตำนานที่ ๗

สืบตำนานบ้านละทาย อำเภอกันทรารมย์ มีการเล่าขานกันต่อ ๆ มาว่า ท้าวกาฬหงษ์แห่งเมืองพนา (เข้าใจว่าเป็นอำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ ในปัจจุบัน) ได้เปิดศึกรบชิงรักกับท้าวอินทะเกษ แห่งเมืองอินทะเกษ (เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน) สืบเนื่องมาจากเจ้าเมืองชีทวน (บ้านชีทวน อำเภอเขื่องใน อุบลราชธานี) มีธิดานางหนึ่ง ชื่อว่า นางเจียงได มีรูปโฉมโนมพรรณงดงาม เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ทั้งในเมืองชีทวนและต่างเมืองทั้งหลาย แม้ท้าวกาฬหงษ์กับท้าวอินทะเกษต่างก็หลงรักนางเจียงไดเช่นกัน ต่อมาท้าวกาฬหงส์ได้มาสู่ขอนางเจียงไดต่อเจ้าเมืองชีทวน ๆ ก็ยินดียกให้ พร้อมกำหนดวันแต่งงานตามขนบประเพณี ฝ่ายท้าวอินทะเกษทราบข่าวเกิดความไม่พอใจ จึงยกไพร่พลไปชิงเอานางเจียงไดมาเป็นของตน ท้าวกาฬพงษ์ทราบข่าวได้รีบยกไพร่พลตามมา ตั้งฐานทัพอยู่บริเวณหนองกันช้าง บ้านเมืองน้อย ตำบลเมืองน้อย ฝ่ายกองทัพท้าวอินทะเกษ ตั้งอยู่ที่เนินลาดทราย ซึ่งก็คือบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านละทายในปัจจุบัน ทั้งสองทัพได้ขุดหลุมเพาะ สร้างฐานทัพ สร้างประตู ป้อม คู หอยาม เตรียมต่อสู้กัน ท้าวอินทะเกษ ได้ตั้งค่ายโดยขุดดินถมเป็นเนินดินเป็นหนองน้ำ เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกเข้าตีค่ายได้ง่าย พร้อมกับทำถนนเข้าสู่ฐานทัพ สร้างป้อมยามทั้งที่ทิศ การรบสมัยโน้น เป็นการรบแบบประจันหน้าเข้าประชิดตัว แพ้ชนะขึ้นอยู่กับไหวพริบความชำนาญเฉพาะตัวเป็นสำคัญ เมื่อถึงเวลารบก็ตีฆ้องเป็นสัญญาณ จะเห็นได้ว่า เนินดินที่ตั้งบ้านละทายจะสูงกว่าที่อื่น มีหนองน้ำอยู่รอบหมู่บ้าน ระหว่างหมู่บ้านเมืองน้อยกับบ้านละทาย มีหนองน้ำเรียกว่า หนองฆ้อง มาจนทุกวันนี้
ส่วน สองท้าวเจ้าเมืองพนากับเจ้าเมืองอินทะเกษ รบกันอยู่เป็นเวลานานไม่รู้แพ้รู้ชนะ รบกระทั่งนางเจียงไดตั้งท้อง และคลอดบุตรเป็นชายที่ฐานทัพแห่งนี้ แต่ทารกที่คลอดออกมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ นางเจียงไดจึงนำบุตรน้อย ไปล่องลอยแพหนีไปตามลำน้ำมูล ด้วยความรักความผูกพันของสายเลือดนางจึงมีความโศกเศร้าเสียใจในการกระทำของ นางเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ลอยแพบุตรชายไปตามกระแสน้ำแล้ว ทุกวันนางต้องมานั่งที่ฝั่งแม่น้ำมูลด้วยความเศร้าสร้อยเป็นเวลานาน เพราะเหตุนี้ สถานที่ที่นางเจียงไดมานั่งร้องไห้รำพันถึงลูกน้อยนั้น จึงมีชื่อว่า “ท่านางเหงา” มาตราบเท่าทุกวันนี้
ตำนาน บ้านละทาย และจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อพระครูโสภณจันทรังษี (เพ็ง จนฺทรํสี) อายุ ๘๕ ปี พรรษา ๖๕ เจ้าอาวาสวัดบ้านละทาย ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ว่า เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๓ พระปทุมราชวงศา เจ้าเมืองอุบลราชธานี ก็ได้ทำการปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ต่อมาได้แต่งตั้งให้ไพร่พลบริวารแยกย้ายกันออกไปหาที่ดินสร้างบ้านแปลงเมือง เป็น ๕ สาย โดยสายที่ ๕ ให้จารย์เชียงหรือท้าวเชียงมาอยู่ ที่บ้านละทายนี้ เมื่อผู้คนมาอยู่รวมกันมากขึ้น ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเป็นไข้มาลาเรีย บางพวกก็ได้อพยพหนีออกไปตั้งหลักปักฐานในที่อื่น เช่นท้าวเชียงหรือจารย์เชียง ไปตั้งตัวที่บ้านโนนสามขา และได้ยกบ้านโนนสามขาขึ้นเป็นเมือง “ศรีนครเขต”เพราะฉะนั้น จึงพอสันนิษฐานได้ว่า ศรีสะเกษ อาจจะมีเค้าโครงมาจากการนำชื่อ “เมืองอินทะเกษ” กับ “ศรีนครเขต” มารวมกัน แล้วเพี้ยนมาเป็น “ศรีสะเกษ” ในปัจจุบัน
 
 
 
 
 
 
อ้างอิง
 
ที่มา :: วัดมหาพุทธาราม :: mahabuddharam.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น